Cubism Visual Art

ทัศนศิลป์ลัทธิ ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Cubism Visual Art โดยเป็นลัทธิให้มีการสร้างความแตกต่างจากสิ่งที่เคยมีมา โดยมีแนวคิดว่าถ้าอยากเข้าใจรูปทรงภายนอก จงมองรูปทรงเหล่านั้น ให้เป็นเหลี่ยมเป็นลูกบาศก์ง่าย ๆ สำหรับผู้ที่ริเริ่มนำแนวคิดนี้มาใช้ คือ Picasso และ Braque

ศิลปะลัทธิ Cubism ที่มีเอกลักษณ์ เป็นรูปทรงเรขาคณิต

ศิลปะลัทธิ Cubism แบ่งออกเป็น 3 ยุค ได้แก่…

Cubism Visual Art

ยุคแรก  คือ ยุค Cubism วิเคราะห์ ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์โครงสร้าง แล้วค่อยสร้างรูปร่างที่เป็นเหลี่ยมขึ้นมา ด้วยการลดระยะความลึกจากในธรรมชาติมาทำให้อัดอยู่รวมกัน และเน้นหนักเรื่องน้ำหนัก ความแข็งแรงของวัตถุ โดยตัดรายละเอียดของวัตถุจริงออกไปเยอะมาก เช่น ถ้าจะวาดบ้านกับต้นไม้ ก็จะลดเหลือแค่ความเป็นเหลี่ยมหรือทรงโค้งอย่างง่ายๆเท่านั้น

ยุคที่ 2 ยุคทองของศิลปะลัทธิ Cubism โดยศิลปินจะแบ่งแยกวัตถุออกเป็นส่วนต่างๆ แยกส่วนกัน แล้วจึงผสมผสานวัตถุต่างๆ ให้เกิดความสัมพันธ์กันทั้งภาพ ด้วยวิธีการทำระนาบให้เกิดการเชื่อมโยงกันไปเรื่อยๆ และเอกลักษณ์ คือ ไม่แสดงให้เห็นส่วนรายละเอียดของแต่ละวัตถุให้มากนัก นอกจากนี้สีที่ใช้ในภาพ มักเป็นสีเทาอมน้ำตาล ด้วยการนำวัตถุซึ่งถูกมองจากมุมมองอันแตกต่างกัน ไม่ว่าจากมุมใดมุมหนึ่ง ทั้ง บน , ข้าง , หน้า หรือด้านใดๆก็ตาม มาก่อให้เกิดรวมกันกลายเป็นเอกภาพ อยู่ในองค์เดียวกัน ส่วนทางด้านรูปทรงก็อาจถูกทำลายจนเกือบอยู่ในสภาพนามธรรม ที่ผู้ชมต้องใช้การวิเคราะห์

ยุคที่ 3 ศิลปะลัทธิ Cubism ในยุคนี้ ศิลปินเริ่มมีการนำวัสดุต่างๆ มาผสมผสานปะติดปะต่อรวมเข้าไว้ด้วยกัน กับการวาดภาพ โดยวัสดุเหล่านี้อาจใช้แผ่นกระดาษ , เศษหนังสือพิมพ์ , แผ่นกระจกเงา รวมทั้งวัตถุต่างๆนานาชนิด สำหรับวิธีนี้เรียกว่า Collage โดยมีการเขียนตัวหนังสือลงไป โดยวัตถุประสงค์ในการทำเช่นนี้ จะทำให้คุณเห็นคุณค่าของงานศิลปะ ด้วยการนำตัวอักษรมาเป็นสื่อนำความเข้าใจ อีกทั้งยังทำให้ศิลปินกับผู้ชมเกิดการเชื่อมโยงกันในความรู้สึกนึกคิดมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งทำให้ภาพได้คุณลักษณะใหม่อันเป็นอิสระมากกว่าเดิม นอกจากนี้ยังมีการสังเคราะห์ในเรื่องของเส้นให้ใกล้เคียงกับเส้นเรขาคณิตมากยิ่งขึ้น

สรุปแล้ว ศิลปะลัทธิ Cubism จะมีการเน้นการสร้างสรรค์ผลงาน ด้วยการใช้รูปทรงเรขาคณิตนานาชนิด นำมาประกอบเข้าไว้ด้วยกันเพื่อก่อให้เกิดเป็นภาพใหม่ นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคนิคการลงสี เพื่อทำให้เกิดภาพจากการเชื่อมโยงทางความคิดและสายตา และศิลปะลัทธิ Cubism ก็ยังเป็นอีกหนึ่งวิธีในการนำมาพัฒนาภาพเขียนซึ่งมีเพียงแค่ 2 มิติ ที่สายตาเห็นได้เพียงแค่ด้านเดียว ก็จัดว่าเป็นศิลปะอีกประเภทหนึ่งซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว